บทความ/นานาสาระน่ารู้
การขอขมาต่อพ่อแม่เป็นเรื่องสำคัญ ที่ลูกหลานควรจะกระทำเป็นอย่างยิ่ง

การขอขมาบิดา – มารดา

“...เผอิญผมได้รับการแนะนำจากท่านที่ผมเคารพนับถือท่านมาก ให้ชักชวนพี่ๆน้องๆขอขมาต่อบิดา-มารดา เพื่อให้ท่านอโหสิกรรมในสิ่งที่ลูกๆหลานๆเคยล่วงเกินท่านด้วยการที่ทำให้ท่านไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เดือดเนื้อ ร้อนใจ เพื่อความเจริญก้าวหน้า การทำการทำงานไม่ติดขัด ชีวิตมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ผมเลยมีความตั้งใจอย่างเต็มที่จะทำตามตามที่ท่านแนะนำ ผมเลยลงมือค้นหาทางกูเกิลเพื่อหาวิธีปฏิบัติที่ถูกต้องที่เขาทำกัน เป็นเหตุให้เจอกับบทความที่น่าสนเข้า บทความนี้เป็นของ คุณอโณทัย เขตต์บรรพต ที่เจ้าชองบล็อก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=30038 นำมาลงไว้ เลยถือโอกาสคัดลอกมาให้ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของโรงเรียนได้อ่านกัน คัดมาทั้งดุ้นเชิญอ่านกันได้นะครับ...เจ้าของบล็อกและเจ้าชองบทความคงมาว่ากันนะครับ...ของดีๆอย่างนี้ต้องเผยแพร่...”

สาเหตุหนึ่งที่ลูกทำให้พ่อแม่ทุกข์ก็คือ "การไม่ได้ทำตัวเป็นลูกที่ดี"

การไม่ทำตัวเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ นั้น เท่าที่ผมได้รับฟังปัญหา ก็มีอย่างนี้

1.ชอบเถียงพ่อเถียงแม่

2.ชอบทำให้พ่อแม่เสียใจ บางรายถึงกับทำให้พ่อแม่ร้องไห้

3.ไม่เลี้ยงดู ไม่ปรนนิบัติพ่อแม่ตามสมควร

4.สร้างแต่ปัญหาให้พ่อแม่

5.ขโมยของที่เป็นสมบัติของพ่อแม่

6.ด่าว่า กล่าวคำที่เป็นการล่วงเกินพ่อแม่

7.ทำร้ายร่างกาย และจิตใจต่อพ่อแม่

บุคคลใดก็ตามที่กระทำอย่างนี้ จะต้องได้รับ "กรรม" หนัก ยิ่งข้อที่ 6 และ 7 คือด่าว่าและทำร้ายพ่อแม่ "กรรม" จะยิ่งหนักมากมายมหาศาล โอกาสได้ไปภพภูมิต่ำถึงนรกอเวจีมีมาก ชีวิตของผู้กระทำการตามนี้จะไม่มีความสุขเลยชั่วชีวิต จะไม่มีความสบายใจ มักจะมีเรื่องหงุดหงิด เรื่องทุกข์ ทั้งทุกข์กายและทุกข์ใจเกิดขึ้นบ่อยๆ อะไรที่คิดว่าน่าจะได้มา น่าจะสร้างความสุข น่าจะประสบผลสำเร็จ ก็มักจะไม่ได้ มีการเลื่อน คลาดเคลื่อน <<<จนสุดท้ายก็ไม่ได้เลย>>>

สำหรับคนที่ได้กระทำในสิ่งที่เลวร้าย หรือไม่สวยงามไม่น่ารักกับพ่อกับแม่แล้วนั้น บางทีอาจจะไม่รู้ตัวหรอกครับว่า กำลังรับกรรมในส่วนนี้อยู่บางทีการกระทำที่เราทำกับพ่อแม่นั้น อาจจะทำไปโดยไม่ตั้งใจ ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าพ่อแม่จะเสียใจ ในสิ่งที่เราทำ เพราะเรา "คาดไม่ถึง"อย่างเช่น

>ถ้าพ่อแม่ทำกับข้าวมาให้กิน

>เพราะเห็นว่าเราทำงานมาเหนื่อยเราหิว

>เรากลับพูดสวนกลับไปว่า

ไม่ต้องมาสนใจหรอกน่า เดี๋ยวหากินเองได้ โตแล้วนะ ไม่ต้องมายุ่ง

>เรื่องแบบนี้หรอกซึ่งเราเองก็ไม่ได้คิดอะไร

>ไม่ได้คิดว่าพ่อแม่ยุ่งอะไรนักหนาหรอก

>เพียงแต่อยากทำอาหารกินหรือหากินเอง

>จะได้ไม่ต้องรบกวนใคร

>แต่พ่อแม่ได้ฟังอย่างนั้น เกิดความรู้สึกแล้ว

>อุตส่าห์หวังดี

>อยากทำอะไรอร่อยๆ ให้กิน ด้วยความหวังดี

>ด้วยความเป็นห่วงได้ยินอย่างนั้น ก็เสียใจน้อยใจ คิดว่าลูกไม่สนใจ

>ไม่เห็นถึงความหวังดีบางรายอาจจะน้อยใจ

>จนเก็บไปร้องไห้ก็มีนี่แหละครับ

>เหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้เกิดขึ้นบ่อยในรายของลูกที่ยังอยู่ร่วมกับพ่อแม่

>หรือเหตุการณ์คล้ายๆ แบบนี้คือการทำให้พ่อแม่เสียใจ น้อยใจ

>แม้ว่าเราเองจะไม่ตั้งใจก็ตาม

>>บาป….ครับ>>>>>>>>และมีเหตุการณ์อีกหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึงว่า

>การกระทำและคำพูดของเราจะทำร้าย "จิตใจ" ของพ่อแม่

>ด้วยความไม่ตั้งใจแม้จะไม่ตั้งใจอย่างไรก็ตาม มันก็บาป..ครับเป็น

"กรรม" ที่ต้องชดใช้ในอนาคต มีทางหนึ่งที่พอจะช่วยได้ ก็คือต้องได้รับ "อโหสิ" หรือได้รับการ "อภัย" จากพ่อแม่

>อยากจะบอกว่าการทำร้ายจิตใจให้พ่อแม่ให้ได้รับความไม่สบายทั้งกายและใจนั้น

>เป็นบาปเป็นกรรมที่มีผลหนักหนามหาศาลและเป็นกรรมที่ทำให้เราไม่เจริญ

>ไม่มีความสุข ไม่มีความเจริญก้าวหน้า

>ไม่มีสิ่งที่เป็นมงคลเกิดขึ้นในชีวิต เทวดา พรหม มนุษย์ สัตว์ ไม่ชอบ

>ไม่อยากยุ่งเกี่ยว

>หรือไม่อยากสร้างความสัมพันธ์ด้วยอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว

>คิดกันหรือยังครับว่าเราควรจะ "ขอขมา" พ่อแม่ได้แล้ว หรือว่ายังคิดกันไม่ออก..ก็ตามใจ

>วิธีการขอขมาพ่อแม่

>เพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต

>ความจริงไม่มีอะไรมากเลย เพียงแค่เข้าไป

>"กราบ" พ่อแม่ แล้วเอ่ยปากขอ "ขมา"

ในสิ่งที่ที่เคยทำให้พ่อแม่เสียใจ ร้องไห้ เสียความรู้สึก

แล้วก็ให้พ่อแม่ยกโทษ อโหสิกรรมให้ก็แค่นี้ครับ

>ง่ายจะตายไป

>แต่เรื่องที่สำคัญที่มองข้ามไปไม่ได้เลย

ก็คือต้องไปขอ "ขมา" >>อย่างจริงใจนะครับ แบบหลอกๆ หรือโกหก หรือไม่จริงใจ ไม่ได้ผลแน่นอน

เริ่มต้นอย่างนี้ก่อนก็ได้

>1. ลองเลือกดูสักวันที่พร้อม ไม่ต้องถึงขนาดดูฤกษ์ยามนะครับ นั่นมันก็เกินไป ยิ่งศาสนาพุทธสอนไว้ด้วยว่า ฤกษ์ที่ดีที่สุดก็คือ ฤกษ์สะดวก แต่บางคน "เขิน" ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไร ที่จะเข้าไป "ขอขมา" พ่อแม่ ก็อาจจะเลือกวันที่เป็นประเพณีนิยมที่คนเขาทำกันทั้งบ้านทั้งเมืองก็ได้ อาจจะเป็นวันปีใหม่ สงกรานต์ วันแม่ วันเข้าพรรษา วันพระสำคัญๆ วันเกิดเรา วันเกิดพ่อแม่ คือจะเอาวันไหนก็เลือกสักวัน อย่าไปให้ความสำคัญว่าจะเป็นวันไหนมากนัก วันไหนที่พร้อมก็ทำได้เลย ถ้ามัวมารอเอาวันนั้นวันนี้ เดี๋ยวคุณก็ไม่ได้ทำกันพอดี

>2. นำสิ่งของที่ดูเหมือนจะเป็นตัวแทนหรือสิ่งที่ดี ที่เห็นแล้วสดชื่น อาจจะเป็นพวงมาลัย ดอกไม้ ธูปเทียนแพ น้ำอบ น้ำปรุง หรืออะไรก็ได้ที่ดูเข้ากับบรรยากาศ หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็ไม่ต้อง ซึ่งเหล่านี้มันไม่สำคัญสำคัญเท่ากับเอา "จิต" ที่ตั้งมั่น ที่จริงใจไปกราบเข้าไปกราบ..คือกราบเลยนะครับ ให้ดูว่าเคารพพ่อเคารพแม่อย่างจริงใจ กราบพ่อกราบแม่ทำไมจะกราบไม่ได้ กราบได้สนิทใจกว่ากราบคนอื่นอีกตอนนี้หลายคนอาจจะกระดาก เขินอาย ซึ่งก็ไม่รู้จะกระดากไปทำไม ? แต่มีจริงๆ นะครับ เท่าที่คุยกับหลายๆ คน กระดากจริงๆ อาจจะเป็นเพราะว่าไม่เคยทำอย่างนี้มาก่อน ไม่เคยชิน ไม่เคยกราบพ่อกราบแม่มาก่อน เลยเขินอายกราบไปเถิดครับ กราบตอนนี้ยังดียังมีพ่อแม่ให้กราบ ถ้าไปกราบศพกราบรูปตอนที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว จะมานั่งเสียใจทีหลังนะครับอย่าเขิน อย่าอาย อย่ากระดาก ถ้าจะทำความดี

>>เมื่อกราบแล้ว พูดกับพ่อแม่นะครับว่า….(ในทำนองคล้ายๆ แบบนี้)

>>“ สิ่งใดก็ตาม การกระทำใดก็ตามที่ลูกได้เคยทำให้พ่อแม่ไม่สบายใจ เสียใจ น้อยใจ หรือทำให้เกิดกรรมที่ไม่ดีต่อพ่อแม่ บัดนี้ลูกได้สำนึกผิดแล้วในทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำกรรมไม่ดี ขอกราบขอขมาพ่อแม่ด้วย ขอให้พ่อแม่อโหสิกรรม และให้อภัยในกรรมที่ไม่ดีที่ได้เคยทำมาแล้วด้วย "

>>ทำนองนี้แหละครับ

>>แต่ข้อนี้อย่าลืมว่า ทุกอย่างที่ทำ ต้องออกมาจาก "จิต" ที่ต้องการทำอย่างนั้นจริง ต้องการขอขมาจริงๆอย่าสักแต่ว่าทำเพียงให้พ้นๆ ไป ต้องมาจากใจ และจาก "จิต" ที่บริสุทธิ์

>3. พูดเสร็จแล้วก็ ให้พ่อแม่เอ่ยปากให้ "อโหสิ" และให้ "อภัย" ให้ และอาจจะตามด้วยการขอพร ขอคำพูดที่ดีๆ ขอคำพูดที่เป็นมงคลจากพ่อแม่ด้วยและก็เช่นกัน พ่อแม่ก็ต้องให้ "อภัย" และ "อโหสิกรรม" ลูกจาก "จิต" ที่เต็มใจ จริงใจ จริงๆ พร้อมที่จะให้อภัยลูกด้วยความบริสุทธิ์ใจ>>แค่นี้ครับเสร็จแล้ว แค่นี้จริงๆ กับการสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิต>>>>>>>>แต่ "แค่นี้" นั้น ได้สร้างบุญกุศลมหาศาล

>>และสร้างอานิสงส์ที่เยี่ยมยอดให้กับเราแล้วอย่างน้อยก็ได้ลด "กรรม"

>>ในส่วนที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ส่วนหนึ่ง ไม่ต้องรับ "กรรม" ที่เดียว 2 กรรมพร้อมกัน

และคุณเองก็ยังเอาความรู้ตรงนี้ไปประยุกต์ใช้กับคนอื่น ที่คุณได้เคยทำกรรมไม่ดีกับเขาก็ได้

เพราะอย่างน้อยการที่เจ้ากรรมนายเวรยกโทษให้ ก็น่าจะเป็นสิ่งดี

>>อย่างนั้นใช่มั้ยครับ

>>อย่าลืมเรื่องที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ…."อย่าซ้ำรอยเดิม" สิ่งที่ควรทำกับพ่อแม่ เพียงคุณทำให้พ่อแม่สบายใจ สบายกาย บำรุงให้ท่านได้มีความสุขตามอัตภาพไม่ว่าจะเป็นเรื่องของจิตใจ เรื่องของร่างกาย เรื่องอาหารการกิน เรื่องสุขภาพถ้าคุณทำได้ ทำให้พ่อแม่มีความสุขได้แล้ว คุณไม่ต้องมานั่งอธิษฐานขออะไรจากเทพ เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ เพราะถ้าคุณบำรุงดูแลพ่อแม่อย่างที่บอกแล้ว

>>คุณได้แล้ว คุณได้กุศล ได้บุญแล้วได้อย่างมหาศาลด้วย เป็นการได้แบบอัตโนมัติ ทำปุ๊ปได้ปั๊บการบำรุงดูแล การสร้างความสุขความสบายใจ และการกตัญญูกับพ่อแม่นั้น เป็นคุณธรรมที่ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกย่องว่า เป็นคุณธรรมที่ประเสริฐ ได้บุญได้กุศล ได้อานิสงส์มหาศาลอานิสงส์นั้นจะเป็นผลให้คุณได้รับสิ่งที่เหลือเชื่อ แทบไม่น่าจะเป็นไปได้ อะไรที่ติดขัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการงาน เรื่องความรัก หรือเรื่องจิปาถะต่างๆ ก็จะดีขึ้น คลี่คลายไปในทางที่ดีเงินทองก็จะไม่ขัดสน ถ้ามันยากจนหนักเข้า ก็ไม่ถึงกับบรรลัยฉิบหาย เดี๋ยวก็จะมีบางสิ่งบางอย่างทำให้ดีขึ้น หรือแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าให้รอดตาย รอดจากวิกฤตได้บอกไม่หมดจริงๆ ครับ กับอานิสงส์ของการมีความกตัญญู การทำให้พ่อแม่มีความสบายใจ การบำรุงดูแลพ่อแม่ เพราะเขียนกัน 3 วัน 3 คืน (หรือมากกว่านั้น) ก็ไม่สามารถบอกได้ว่า อานิสงส์จะมีอะไรบ้างเอาเป็นว่า สรุปง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่เคยไม่ดีในอดีต สิ่งที่ไม่ดีในปัจจุบัน และสิ่งที่ไม่ดีต่างๆ ในอนาคต จะ "ดีขึ้น" อย่างน่าอัศจรรรย์ อย่างคาดไม่ถึง

>>ผมเขียนเรื่องนี้มาจากประสบการณ์ตรง ยี่ห้อ นายอโณทัย ต้องเขียนจากความเป็นจริงเท่านั้น ทำได้ปฏิบัติได้จึงเอามาบอกต่อ ยืนยันกันอย่างนี้ ไม่เชื่อกันหรือครับ ?

>>ก่อนจบเรื่องนี้ก็มาสรุปกันนิดหน่อย

>>และแถมท้ายสิ่งที่ทำให้พอแม่สบายใจอีกข้อสองข้อ

>>1.การขอขมาพ่อแม่ เมื่อสำนึกได้ว่าเคยทำสิ่งไม่ดีกับพ่อแม่ไว้

>>2.อย่า "ซ้ำรอยเดิม" ทำในสิ่งที่เคยทำไม่ดีอีก

>>3.บำรุง ดูแล กตัญญู สร้างความสุข ความสบายใจ ให้พ่อแม่ตามอัตภาพ

>>4.ข้อนี้แถม ในวันที่สำคัญต่างๆ ควรมากราบพ่อแม่ เพื่อให้พ่อแม่ได้รู้สึกว่าตัวเองยังเป็นที่ "ต้องการ" และมี "ความสำคัญ" ต่อลูกหลาน วันเกิด ควรมาหาผู้ที่ทำให้เกิดก่อน (ก็พ่อแม่นั้นแหละ) มาขอพร มากราบ มาไหว้ก่อน เอาของขวัญ ของชอบ หรือสิ่งที่ดีๆ มาให้พ่อแม่ก่อน แล้วจะไปทำอย่างอื่นหรือไปฉลองกับใครก็ตามใจ แต่ทางที่ดีควรพาพ่อแม่ไปทานข้าวนั่นแหละดีที่สุด ส่วนเพื่อนนั้นไปกินกันวันไหนก็ได้ ถ้าอยากจะกินวันเกิดควรนึกถึงผู้ที่ทำให้เกิดมามากที่สุดผมไปหาพ่อแม่ (ตอนนี้เหลือคุณแม่คนเดียว) ทุกๆ วัน (คล้าย) เกิดของผม ทำเป็นประจำมาหลายสิบปีแล้วหรือจะเป็นวันสำคัญต่างๆ วันปีใหม่ วันสงกรานต์ วันเกิดพ่อแม่ วันพ่อ วันแม่ ฯลฯ ไปหาพ่อแม่ได้ก็ไป แต่ถ้าไปหาไม่ได้ เพราะความจำเป็นบางอย่าง ก็ติดต่อสื่อสาร อย่างเช่น โทรไปหา เขียนการ์ด เขียนจดหมายไปหาก็ยังดี ถ้าไปหาด้วยตัวเองไม่ได้ ไปด้วยเสียง ด้วยตัวอักษรก็ยังดีนี่แหละครับมงคลที่ได้จากพ่อแม่

>>อโณทัย เขตต์บรรพต

>>บทความนี้คัดลอกจากหนังสือ "สิ่งที่ชาวพุทธควรรู้”

ขอขอบพระคุณ บทความดีดี ที่ได้รับต่อมาจากเพื่อนๆ...จบบทความที่คัดลอกมา

ต้องขอขอบคุณเจ้าของบล็อก

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=30038

ขอขอบคุณ คุณอโณทัย เขตต์บรรพต มา ณ ที่นี้

“...หลังจากที่ผมได้เจอบทความดังกล่าวข้างต้นแล้ว ก็ตกลงใจนัดพี่ๆน้องๆลูกๆหลานๆมาพร้อมกันแล้วผมก็เริ่มทำพิธีขอขมาบิดา-มารดากัน เผอิญว่ามีแต่มารดาก็เลยอุปโลกน์ให้ท่านเป็นทั้งแม่และพ่อไปด้วย วิธีที่ผมประยุกต์เพื่อใช้มีดังนี้...”

เตรียมดอกไม้ ธูป เทียน (หนึ่งชุดประกอบด้วย ดอกไม้ ธูป ๓ ดอก เทียน ๑ เล่ม) เงินที่เตรียมไว้ให้ท่าน เตรียมเก้าอี้นั่งให้ท่านนั่ง เตรียมกาละมังขนาดย่อมใหม่ๆสวยๆสำหรับใส่น้ำสะอาดที่ผสมด้วยน้ำอบไทยให้หอม เตรียมกาละมังอีกใบที่ใหญ่กว่าหน่อยเพื่อรองน้ำจากการล้างมือล้างเท้าให้ท่าน พานขนาดใหญ่หน่อยหนึ่งใบ สำหรับใส่ดอกไม้ธูปเทียนจากลุกหลาน อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญก็คือประธานในพิธี ในที่นี้ผมใช้นิมนต์พระสงฆ์ที่ครอบครัวของผมเคารพนับถือเป็นอย่างสูงเป็นประธานในพิธี(เราอาจจะจัดโต๊ะหมู่บูชา จัดพระพุทธรูปเป็นองค์ประธานก็ได้)เริ่มด้วยเชิญให้แม่นั่งบนเก้าอี้ที่เตรียมไว้ กราบพระสงฆ์ผู้เป็นประธาน ๓ ครั้ง แล้วหันหน้าทางแม่ กราบท่าน ๑ ครั้ง(มือไม่แบ) ตั้งนะโม 3 จบ แล้วกล่าวทั้งภาษาบาลีและภาษาไทย ดังนี้


“สัพเพปะมาเทนะ ทวารัตตะเย รักกะตัง สัพพัง อับปะราธัง ขะมะถุโนพันเต มัยหัง มาตาปิตุนังวะ ปาเทวันทามิ สาทะรัง”

ลูกหลานทั้งหลายขอกราบบิดา มารดา ผู้มีพระคุณ ผู้เป็นพระอระหันต์ในบ้าน ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ที่ลูกหลานทั้งหลายได้ประมาทพลาดพลั้ง ล่วงเกินท่านด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ทั้งต่อหน้าก็ดี ลับหลังก็ดี ที่เจตนาก็ตาม มิได้เจตนาก็ตาม การกระทำอันใดอันที่ลูกหลานทั้งหลายได้กระทำแล้วด้วย โลภะจริต โทสะจริต โมหะจริต ต่อบิดา มารดาผู้มีพระคุณ ลูกหลานทั้งหลายได้นำมาซึ่งดอกไม้ ธูปเทียน กับน้ำอันบริสุทธิ์ ตลอดจนทรัพย์บรรณาการนี้เพื่อบูชาบิดา มารดา

ลูกหลานทั้งหลายขอขมากรรมทั้งปวงที่ได้ล่วงกระทำไปแล้ว จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ขอท่านโปรดงดโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป บุญกุศลที่ลูกหลานทั้งหลายได้กระทำแล้ว ขอให้ท่านจงเป็นผู้มีผลในส่วนบุญอันนั้นด้วย ขอให้ท่านจงเป็นผู้มีอายุยืนยาว มีสุขภาพร่างกาย และจิตใจที่แข็งแรง ปราศจากทุกข์โศก โรคภัยทั้งปวง อยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของลูกหลานทั้งหลายตลอดไปเทอญ.

(หมอบกราบ กล่าวว่า) “กาเยนะ วาจายะ วะเจตะสาวา มาตาปิตุคุณัง กุกัมมัง ปะกะตังมะยายัง มาตาปิตุ กุกัมมัง อัตจะยันตัง การันตะเร สังวะริตุง มาตาปิตะเร”

บิดา มารดา กล่าวคำสาธุ...และให้อภัยแก่ลูกหลานทุกท่านพร้อมอวยพรให้กับทุกคน

กราบ ๑ ครั้ง มอบพานดอกไม้ธูปเทียนและเงิน แล้วนำน้ำที่เตรียมไว้ล้างที่มือและเท้าของท่านอย่างบรรจง เช็ดมือ เช็ดเท้าของท่านด้วยขนหนูผืนใหม่ และนำน้ำที่ล้างมือล้างเท้ามาอาบหรือล้างหน้าลูบศีรษะทุกคนเพื่อความเป็นสิริมงคลในชีวิต

ผู้ต้องการเผยแพร่ต่อ

Credit : http://www.nangkatik-club.com/smf/index.php?topic=551.0 และภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต


โพสเมื่อ : 23 ต.ค. 2554,13:49   อ่าน 23417 ครั้ง