บทความ/นานาสาระน่ารู้
วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๕ วันสิ้นโลก (จริงหรือ.........)

วันที่ 21 ธันวาคม 2012 วันสิ้นโลก(จริงหรือ...)

ในช่วงระยะเวลา 4 – 5 ปีที่ผ่านมา มีข่าวเรื่องการสิ้นโลก(โลกแตก) มาให้เรารับฟังกันเป็นระยะๆ และเป็นข่าวที่ฮิตกันมากไม่ใช่แต่ในเมืองไทยเท่านั้น พวกฝรั่งก็มีข่าวทำนองนี้ด้วยเช่นกัน แหล่งข่าวต่างๆต่างก็อ้างคำพยากรณ์ต่างๆ จะเป็นทางโหราศาสตร์ ดาราราศาสตร์ หรือแม้แต่ทางวิทยาศาสตร์โดยอ้างองค์การนาซ่าก็เอากับเขาด้วยคนที่ถูกเขาอ้างจะรู้หรือเปล่าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ที่ผมสนใจเป็นพิเศษก็คือข่าวคำพยากรณ์ของชาวเผ่ามายาโบราณซึ่งมีอารยธรรมเป็นของตนเอง ที่มีผู้ค้นพบบันทึกคำพยากรณ์ว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็น “วันสิ้นโลก”

ผมพยายามหาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาอ่านประดับความรู้ พบเป็นหนังสือที่เขียนโดยชาวฝรั่งหลายเล่ม แต่ผมสนใจก็คือเรื่อง “THE 2012 STORY” ซึ่งเขียนโดย “จอห์น เมเยอร์ เจนกินส์” และแปลเป็นไทยโดย “ทรงพล ศุขสุเมฆ” ผมได้อ่านด้วยความตั้งใจหลายเที่ยวแม้จะมึนศีรษะไปหลายทึบ เพราะหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือสารคดีทางวิชาการที่อ้างอิงผลการวิจัย และหลักฐานต่างๆที่ค้นพบมากมาย แต่พยายามอ่านอย่างไรก็ไม่เจอคำพยากรณ์ตรงๆว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันสิ้นโลกซักที และผมก็ลืมเรื่องนี้ไปพักหนึ่ง เผอิญหลังปีใหม่นี้ (2012 หรือ 2555) ผมได้อ่านบทความของ ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ คนไทยที่ไปทำงานอยู่ในองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(นาซ่า)ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งทางหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับประจำวันที่ 6 ธันวาคม 2555 ได้นำมาลงตีพิมพ์เป็นสกู๊ปหน้าหนึ่ง บทความนี้ได้สะกิดความสนใจของผมขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง จึงหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอ่านอีก โดยพยายามจับจุดคอนเซ็ปต์ให้ได้ เพื่อจะได้จะถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ได้รับทราบในแบบสรุปสั้นๆเอาแต่เนื้อไม่เอาน้ำตามสติปัญญาของผมที่พอจะเขียนได้

เรื่องนี้เริ่มต้นจากชาวมายาศึกษาซึ่งนักวิชาการที่ศึกษาและวิจัยเรื่องของอารยธรรมมายา (วิชามายาศึกษานี้ได้เปิดสอนกันในมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ในแถวยุโรปและอเมริกา) ได้ค้นพบแผ่นจารึกหลายแผ่นด้วยกัน บันทึกเหล่านี้ชาวมายาได้บันทึกด้วยภาษาภาพลงในแผ่นหินซึ่งไม่เหมือนกับการจารึกบนหลักศิลาจารึกด้วยตัวอักษรแบบของพ่อขุนรามคำแหงของเรา เพราะฉะนั้นการแปลความหมายของบันทึกจึงต้องใช้ผู้ชำนาญเรื่องอักษรภาพของชาวมายาโดยเฉพาะ (ความหมายที่แปลคงจะสื่อความได้ไม่เที่ยงตรงร้อยเปอร์เซนต์อย่างแน่นอน...ผู้เขียน) และที่เกี่ยวข้องกับวันสิ้นโลกของบันทึกชาวมายา(ตามที่เขาว่า...แต่ไม่ใช่ทุกคน) ก็คือระบบปฏิทินลองเคาน์ แบบโซลคีน( 1 ปี มี 360 วัน) ของชาวมายา ซึ่งมีหลักการดังนี้

1 วัน = 1 คีน(วัน)

20 วัน = 1 อุยนัล (ราวๆหนึ่งเดือน)

360 วัน = 1 ตุน (ราวๆหนึ่งปี)

7,200 วัน = 1 คาตุน (19.7 ปี)

144,000 วัน = 1 บัคตุน (394.26 ปี)

13 บัคตุน (1,872,000 วัน หรือ 5,125.38 ปี) = 1 ยุคหรือวัฏจักรแห่งยุคของโลก

ยุคก่อนหน้านี้ครบรอบ 13 บัคตุน เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 3,114 ปีก่อนคริสตกาล และยุคปัจจุบันเริ่มจากวันที่ 12 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสตกาล และจะครบรอบบัคตุน(วัฏจักร)ในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ปีนี้นี่เอง นี่คือที่มาของวันสิ้นโลกตามที่เขาบอกไว้ว่าเป็นคำพยากรณ์ของชาวมายาที่ได้ค้นพบบันทึก(บันทึกบนแผ่นศิลาด้วยอักษรภาพ) ไม่ใช่เหตุผลเพียงแต่จะเป็นวันสิ้นวัฏจักรของโลกแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาทึกทักกันว่าวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นวันสิ้นโลก แต่ยังมีบันทึกที่ได้รับการเชื่อถือจากนักวิชาการก็คือปรากฏการณ์การโคจรของดวงอาทิตย์มาตรงกึ่งกลางของกาแลกซี่หรือหลุมดำพอดิบพอดี ซึ่งยุคก่อนก็ตรงมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 3114 ปีก่อนคริสตกาล การคำนวณในเรื่องนี้ของชาวมายาก็เพื่อที่จะใช้อำนาจพิเศษในวันดังกล่าวนี้ในการทำพิธีศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ของเขา การคำนวณของชาวมายาได้รับการยอมรับจากนักวิชาการยุคปัจจุบันในบางกลุ่ม แต่บางกลุ่มกลับเห็นว่าชาวมายาจะมีความรู้เรื่องดาราศาสตร์ได้อย่างไร รวมถึงนักวิทยาศาสตร์เขาก็ไม่เชื่อว่าชาวมายาจะรู้เรื่องดาราศาสตร์ เรื่องกาแลกซี่และหลุมดำ เพราะไม่มีเหตุผลเพียงพอที่ทำให้เชื่อได้ว่าชาวมายาเรียนรู้เรื่องนี้ได้เพราะเครื่องมือและความรู้ทางวิชาการก็คงไม่มี แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่รู้หรือแกล้งไม่รู้ก็ได้ว่าเรื่องราวต่างๆบนโลกใบนี้ที่เหนือเหตุผลก็มี ยกตัวอย่าง เช่น องค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ศาสดาเอกของศาสนาพุทธพระองค์ทรงรู้เรื่องราวต่างๆมากมายรวมถึงทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ เช่นทฤษฎีการเดินทางของแสง เป็นต้น แม้แต่ไอน์สไตน์นักวิทยาศาสตร์ผู้โด่งดังยังยอมรับคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่เสียดายที่ว่าเขาได้ศึกษาคำสอนของพุทธศาสนาช้าเกินไป มิฉะนั้นผลงานของเขาอาจจะบันลือโลกยิ่งกว่าทฤษฎีการแตกตัวของโมเลกุลในสภาวะที่กำหนดทำให้เกิดพลังงานมหาศาล ซึ่งเป็นที่มาของระเบิดปรมาณูในโอกาสต่อมา เช่น ทฤษฎีการเดินทางของแสงอาจนำมาใช้ทำให้คนเราอยู่ในประเทศไทยดีๆเผลอเดี๋ยวเดียวไปเดินอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาแล้วก็ได้ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็มีปรากฏการณ์เหนือเหตุผลให้เรารับรู้กันอยู่ เช่น การเกิดฌานในหมู่นักปฏิบัติ หรือสูงกว่านั้นการรู้แจ้งของพระอริยเจ้า (ที่จริงก็เป็นเหตุผลทางวิทยาศาสตร์เช่นกันแต่นักวิทยาศาสตร์แกล้งเมินก็เป็นได้)

สรุปได้ว่าในบันทึกของชาวมายามิได้ระบุว่าในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 จะสิ้นโลกเพราะโลกแตก แต่วันที่สิ้นรอบวัฏจักรของโลก ( 13 บัคตุน ตามปฏิทินลองเคาน์) และเป็นวันที่ดวงอาทิตย์โคจรมาถึงจุดกึ่งกลางของกาแลกซี่หรือหลุมดำ และเป็นวันที่มีพลังศักดิ์สิทธิ์ที่กษัตริย์ชาวมายาได้ทำพิธีเพื่อเพิ่มพลังให้กับตนเองในวันนี้

ส่วนเหตุผลที่ว่าจะสิ้นโลกด้วยเหตุ 4 ประการ คือ 1. ดาว Nibiru เข้าประชิดหรือชนโลก 2. พายุอนุภาคจากดวงอาทิตย์ (Solar Storm) พุ่งเข้าสู่โลกอย่างรุนแรง 3. โลกและดาวนพพระเคราะห์อื่นๆเรียงตัวอยู่ในเดียวกัน 4. ขั้วแม่เหล็กโลกสลับกลับทิศทางจากขั้วเหนือเป็นขั้วใต้ ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ (คนไทยในองค์การนาซ่า) อธิบายไว้ว่าจากการศึกษาและติดตามของนักวิทยาศาสตร์แห่งองค์การนาซ่าสรุปว่า 1. ดาว Nibiru ไม่มีจริง ถ้ามีจริง กล้องเทเลสโคปจากหอดูดาวต่างๆต้องจับภาพเจอแน่นอน เพราะมีขนาดใหญ่และอยู่ใกล้โลก 2.พายุอนุภาคจากดวงอาทิตย์จะเกิดแบบรุนแรงถึงจุดสูงสุดทุก 11 ปี เป็นเช่นนี้หลายล้านปีแล้ว แต่ไม่เคยทำให้โลกแตก เพียงแต่จะรบกวนหรือทำความเสียหายต่อระบบสื่อสารต่างๆได้ 3. การเรียงตัวของดาวนพพระเคราะห์จะยังไม่เกิดอีกหลายสิบปี และถึงจะเกิดขึ้นตอนนี้ปีนี้ก็มีผลต่อโลกน้อยมากเพราะดาวนพพระเคราะห์ส่วนใหญ่อยู่ไกลจากโลกมาก 4. ขั้วแม่เหล็กโลกจะหมุนเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ โดยใช้เวลาเฉลี่ย 400,000 ปี จึงจะสลับกลับขั้วจากขั้วเหนือเป็นขั้วใต้ ดังนั้นจึงไม่มีผลอย่างทันทีทันใด แต่ถ้าโลกจะแตกก็คงหมายถึงมีการเสียชีวิตคราวละมากๆด้วยสาเหตุอื่น เช่น 1. การระบาดของเชื้อโรคตัวใหม่ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็วมาก และไม่สามารถหายาหรือวัคซีนมารักษาหรือป้องกันได้ทัน 2. เกิดสงครามนิวเคลียร์โดยไม่ตั้งใจ ระหว่างประเทศมหาอำนาจ เพราะสหรัฐอเมริกาและรัสเซียสะสมนิวเคลียร์ไว้มาก 3. อุกาบาตขนาดใหญ่วิ่งเข้าชนโลก เหมือนเมื่อครั้งทำลายเผ่าพันธ์ไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีที่แล้ว เรื่องนี้ทางองค์การนาซ่าได้เฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อจะแก้ไขได้ทันหากเกิดขึ้นจริง แต่เท่าที่ทราบอุกาบาตรลูกถัดไปจะผ่านใกล้โลกในวันที่ 26 ตุลาคม 2571 แต่เชื่อว่าจะไม่ชนโลกอย่างแน่นอน 4. ซูเปอร์วอลเคโน (Supervolcano) ภูเขาไฟขนาดใหญ่มากๆ เกิดระเบิดรุนแรงขึ้น ภูเขาใหญ่มากๆมีอยู่ 6 แห่ง อยู่ที่อเมริกา 3 แห่ง อยู่ที่ อินโดนีเซีย 1 แห่ง อยู่ที่ญี่ปุ่น 1 แห่ง และอยู่ที่นิวซีแลนด์อีก 1 แห่ง ซึ่งไม่มีใครทราบว่าจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ ครั้งหลังสุดระเบิดที่ Lake Toba ประเทศอินโดนีเซียเมื่อประมาณ 74,000 ปีที่แล้ว (จากสกู๊ปหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2555)

และเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นปัญหาต่อโลกของเราเป็นอย่างมาก แต่ก็คือการกระทำของมนุษย์เราเองด้วยความเห็นแก่ตัว ก็คือการทำลายสภาพแวดล้อมโลก โลกขาดความสมดุลตามธรรมชาติ มนุษย์เราคิดว่าตนเองเป็นผู้ประเสริฐ ฉลาด มีความยิ่งใหญ่เหนือธรรมชาติเราจะทำอย่างไรกับธรรมชาติก็ได้เพื่อให้เกิดผลประโยชน์กับตนเอง เช่น ดูดน้ำมันจากใต้ผิวโลกนำมาเผาผลาญอย่างไม่บันยะบันยังแล้วท่านคิดว่ามีอะไรเข้าไปแทนที่อยู่ของน้ำมันดิบที่ถูกดูดขึ้นมา(แล้วโลกจะไม่ขาดสมดุลหรือ...) โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆก็ช่วยกันส่งก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ไปห่อหุ้มชั้นบรรยากาศของโลกทำให้เกิดภาวะเรือนกระจกและโลกร้อน ช่วยกันทำลายป่าไม้เพื่อใช้เป็นแหล่งทำกินชนิดมือใครยาวสาวได้สาวเอา (เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์จะอยู่ในมือนายทุน ส่วนคนจนเป็นแต่เพียงลูกจ้างเท่านั้น) และอีกจิปาถะที่เราช่วยกันทำลายธรรมชาติบนโลกของเราเอง จนธรรมชาติทนต่อไปไม่ไหวจึงส่งสัญญาณเตือนให้เราได้ทราบกันไว้บ้าง ในรูปแบบของแผ่นดินไหวที่มีถี่ขึ้น ท่านทราบมั้ยว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นทุกวัน วันละหลายๆครั้งและถี่ขึ้นเรื่อย แต่ส่วนมากเป็นขนาดต่ำกว่า 5 ริกเตอร์ (พอดีผมได้ฟังเครือข่ายเตือนภัยแผ่นดินไหวทางวิทยุสมัครเล่นทุกวัน) น้ำท่วมผิดปกติไปทั่วทุกมุมโลกเพราะน้ำบนโลกเพิ่มมากขึ้นจากน้ำแข็งขั้วโลกละลายเพิ่มปริมาณน้ำในทะเลให้มากขึ้น...(และน้ำในวัฏจักรของมันก็เพิ่มมากขึ้น ทำให้ฝนตกมากขึ้น ปริมาณน้ำฝนมากขึ้น)

เราอย่าไปสนใจเรื่องไกลตัวกันเลย เช่น เรื่องคำพยากรณ์ของชนเผ่ามายา ก็ไม่เห็นระบุไว้ว่า วันที่ 21ธันวาคม 2555 โลกจะแตก เป็นเพียงวันสิ้นวัฏจักรตามปฏิทินลองเคาน์เท่านั้น หรือแม้แต่ดาวอื่นจะมาชนโลก การกลับขั้วของโลก องค์การนาซ่าก็ยืนยันแล้วว่าจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนั้น จะมีก็เห็นแต่เป็นเพราะการกระทำของมนุษย์เราเองมากกว่า เช่น การระเบิดของนิวเคลียร์ แผ่นดินไหวจากการดูดน้ำมันดิบขึ้นมาใข้จนมากเกินไป น้ำท่วมด้วยเหตุที่ปริมาณน้ำบนผิวโลกมีมากขึ้นจากการละลายของน้ำแข็งขั้วโลก แผ่นดินสไลด์ น้ำป่าไหลหลากก็มาจากการทำลายป่าของเราเอง เพราะฉะนั้น หากต้องการให้โลกอยู่ได้นานๆก็ช่วยกันรักษาสมดุลธรรมชาติไว้ให้ดีก็เป็นพอ

Kroowin

ขอขอบคุณ 1. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และ ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์

2.คุณ จอห์น เมเยอร์ เจนกินส์ ผู้เขียนหนังสือ THE 2012 STORY และคุณ ทรงพล ศุขเมฆ ผู้แปล

โจเซฟ ที. กู๊ดแมน นักวิจัยอิสระเกี่ยวกับมายาศึกษา
ภาพ ปาเลงเก ปี 1840 วาดโดย เฟร เดอริก คาเทอร์วูด
พื้นที่แถบ อิสทห์เมียน ต้นกำเนิดปฏิทินลองเคาท์
ภาพวาดบันทึกของชาวมายา วาดโดย จอห์น เมเยอร์ เจนกินส์
จากรึกหมายเลข 67 และ 60 จากเมืองอิซาปา วาดโดย จอห์น เมเยอร์ เจนกินส์
จารึกแผ่นที่ 25 จากเมืองอิซาปา วาดโดย จอห์น เมเยอร์ เจนกินส์
ดร.ธวัช วิรัตติพงศ์ คนไทยในองค์การนาซ่า
โพสเมื่อ : 08 ม.ค. 2555,11:03   อ่าน 10549 ครั้ง